ประโยชน์ของวิตามิน A บำรุงตา ผิว รักษาสิว

ประโยชน์ของวิตามิน A บำรุงตา ผิว รักษาสิว

ดวงตาเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้หลายคนสนใจ วิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตาได้ดี แล้วยังช่วยเรื่องสิว แต่การทานวิตามิน A มากเกินไปก็จะไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย ควรทำความเข้าใจและทานตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัย

 

รู้จักกับวิตามิน A

  • วิตามินเอ เป็นวิตามินประเภทไม่ละลายในน้ำ ละลายได้ในไขมัน
  • ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างวิตามินเอได้เอง ได้จากการรับประทานเท่านั้น
  • ทนต่อกรดและด่าง ทนต่อความร้อนในระดับหนึ่ง
  • ถึงไม่ละลายน้ำ แต่มีความไวต่อออกซิเจนมาก ถ้าต้องการทำอาหารจากผักผลไม้ด้วยความร้อน ควรปิดฝาภาชนะและใช้น้ำในปริมาณที่น้อยเพื่อลดการสูญเสียวิตามิน
  • เรตินอล (Retinol) ซึ่งเป็นอนุพันธ์วิตามินเออย่างหนึ่ง มีประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณคอลลาเจน ใช้บำรุงผิวที่มีริ้วรอยเล็ก รอยคล้ำ ได้ดี

 

ประโยชน์ของวิตามินเอ

  • ช่วยบำรุงสายตา ลดโอกาสและบรรเทาอาการตาฟาง ตาบอดกลางคืน ลดปัญหาตาไวต่อแสง ช่วยให้มองได้ชัดขึ้น
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดการอักเสบ ลดปัญหาผิวแห้งหยาย
  • ช่วยลดโอกาสเกิดสิว รักษาสิว ลดอาการอักเสบของสิว ป้องกันผิวแห้ง
  • ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดอาการอักเสบ สร้างเซลล์เนื้อเยื่อใหม่
  • เพิ่มภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว สู้กับการติดเชื้อ
  • จากรายงานวิจัย อาจช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็ง
  • ในบางรายงานพบว่า ช่วยบำรุงกระดูกเหมือนวิตามิน D

 

อาหารที่มีสารวิตามินเอ

ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอ ส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป

ในไทยพบมากใน ผักตำลึง ในขนาด 100 กรัม มีค่าวิตามินเอสูงถึง 18,608 IU

อาหารที่มีวิตามินเอสูงในธรรมชาติ ในปริมาณ 100 กรัม

  • ยอดชะอม 10,066 IU
  • คะน้า 9,300 IU
  • แครอท 9,000 IU
  • ยอดกระถิน 7,883 IU
  • ผักโขม 7,200 IU
  • ฟักทอง 6,300 IU
  • แคนตาลูบ 3,060 IU
  • ผักกาดขาว 1,700 IU
  • มะเขือเทศ 800 IU
  • อื่นๆ

 

หน่วยวัดของ Micronutrients ของวิตามิน A มีสองแบบ วัดเป็นหน่วย IU หรือ μg

1 IU Vitamin A = 0.3 μg retinol (~0.1 nmol) = 0.6 μg beta-carotene

 

ปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU หรือ ประมาณ 3,000 μg ต่อวัน ไม่ควรทานเกิน 10,000 IU ขึ้นไป

 

ช่วงอายุ ปริมาณแนะนำ (μg ต่อวัน)
แรกเกิด ถึง 6 เดือน 400-600
7-12 เดือน 500-600
1-3 ปี 300-600
4-8 ปี 400-900
9-13 ปี 600-1700
14-18 ปี 900-2800 (ชาย) / 700-2800 (หญิง)
ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป 900-3000(ชาย) / 700-3000 (หญิง)
ผู้หญิงตั้งครรภ์ 770-3000
ผู้หญิงให้นมบุตร 1300-3000

 

โทษของวิตามิน A

วิตามินเอ มากเกินไป

วิตามินเอ เป็นกลุ่มวิตามินที่ไม่ละลายน้ำ ร่างกายขับออกไปได้ยาก จึงมีโอกาสส่งผลเสียต่อร่างกายได้

  • ปวดข้อต่อ ง่วง ซึม เจ็บกระดูก ปวดศึรษะ
  • ผิวหนังแห้ง แตก ลอก คัน
  • กระดูกผิดรูป ตับโต ม้ามโต
  • หญิงตั้งครรภ์ควรทานในปริมาณที่แพทย์แนะนำ การทานวิตามินเอมากเกินไป อาจทำให้แท้งลูกได้

ไม่ควรทานเกิน 50,000 IU ต่อวัน ซึ่งอาหารโดยปกติจะสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสมไม่ทำให้ได้รับวิตามินมากเกินไป ควรระวังเรื่องการทานอาหารเสริมที่มีปริมาณวิตามินสูงเกินความจำเป็น

 

วิตามินเอ น้อยเกินไป

ในการสำรวจบางประเทศพบว่ามีประชาชนขาดแคลนวิตามิน A ได้เช่นกัน ส่วนใหญ่เกินจากการขาดแร่เหล็กซึ่งส่งผลต่อวิตามิน A รวมถึงการไดเอตบางรูปแบบ อาจทำให้ขาดวิตามินได้

  • ทำให้เกิดตาบอดตอนกลางคืน และสายตาแย่ลง
  • ภูมิคุ้มกันน้อย ติดเชื้อง่ายขึ้น

 

วิตามิน A ถือว่ามีความสำคัญต่อสุขภาพไม่น้อยกว่าวิตามินยอดนิยม อย่าง วิตามิน B หรือ วิตามิน C แต่ไม่ควรทานมากเกินไป ควรทานในปริมาณเหมาะสม หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่ร้านขายยา

 

ข้อมูลจาก: Wikipedia (อังกฤษ/ไทย), Healthline / ภาพประกอบจาก: Unsplash

 

บทความแนะนำ

แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) ประโยชน์ ข้อดี ควรทานแค่ไหน

แคลเซียมผสมวิตามินรวม ดีอย่างไร ช่วยด้านไหนบ้าง

ทานไข่ทุกวัน วันละหลายฟอง ปลอดภัยจริงไหม

บทความการดูแลสุขภาพ