โรค MIS-C เด็กหายป่วยโควิด-19 ก็อาจเสียชีวิตได้

โรค MIS-C เด็กหายป่วยโควิด-19 ก็อาจเสียชีวิตได้

ช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ๆ เราเชื่อกันว่า เด็กไม่ค่อยเสี่ยงตายจากโรคโควิด-19 เพราะภูมิคุ้มกันสูง ถึงเป็นก็มีโอกาสรอด แต่พอผ่านไปร่วมปี ผลงานวิจัยบ่งบอกชัดเจนว่าเด็กก็มีโอกาสเสียชีวิตจากโควิดได้ไม่น้อยเหมือนกัน โดยเกิดจากโรค MIS-C ที่เกิดหลังจากเคยป่วยโควิดมาก่อน มาทำความรู้จักและวิธีรับมือโรคอันตรายนี้กันดีกว่า

 

รู้จักโรค MIS-C

โรค Multisystem Inflammatory Syndrome in Children (MIS-C) หรือ โรคมิสซีก่อให้เกิดการอักเสบในอวัยวะทั่วทั้งร่างกายมักพบในเด็กที่มีประวัติการติดเชื้อโรคโควิด-19 นำมาก่อนถึง 2-4 สัปดาห์

โดยเกิดจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 แล้วก่อให้เกิดอาการของโรค MIS-C

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย พบว่าจากการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกล่าสุดในช่วงกลางปี 2564 ทำให้มีเด็กอายุ 0-18 ปีติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะทำให้มีการพบผู้ป่วย MIS-C หรือ มิสซี เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากเป็นอาการที่พบในเด็กหลังหลังติดเชื้อโควิด 2-8 สัปดาห์

จากการเก็บข้อมูลในประเทศไทย พบว่ามีเด็กป่วยเป็นโรค MIS-C ประมาณ 20-25 ราย เมื่อเทียบจำนวนเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 ในปีนี้ สัดส่วนเด็กที่ป่วยเป็นโรค MIS-C อยู่ที่ประมาณ 1:10,000 ราย

 

อาการโรค MIS-C

  • มีไข้สูง
  • ผื่น ตาแดง ปากหรือลิ้นแดง มือเท้าบวมแดง และอาการต่อมน้ำเหลืองที่คอโตคล้ายคลึงกับโรคคาวาซากิ
  • ถ่ายเหลว ปวดท้อง อาเจียน
  • หากมีอาการรุนแรงผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกและเสียชีวิตได้

 

แนวทางการรักษา

เด็กที่ป่วยด้วยโรคมิสซี MIS-C แม้ไม่มีโรคประจำตัว ก็อาจเกิดอาการช็อกหรือเสียชีวิตได้แม้จะมีสุขภาพแข็งแรง ผู้ปกครองจึงควรเฝ้าระวังอาการของเด็กหลังหายป่วยจากโรคโควิด-19 อย่างใกล้ชิด

ปัจจุบัน โรคมิสซี ยังไม่มีแนวทางรักษาที่ชัดเจน ทางแพทย์จะให้ยาแก้อักเสบ และยาบรรเทาอาการไปก่อน จนกว่าจะฟื้นฟูกลับมาหายได้

หากเด็กมีอาการคล้ายกับโรค MIS-C หรือโรคคาวาซากิ ผู้ปกครองควรพามาพบแพทย์ทันที ให้ปรึกษากุมารแพทย์โดยด่วน หรือ รพ.เด็ก โทร 1415

 

ความแตกต่างของโรค MIS-C และโรคคาวาซากิ

โรค MIS-C เป็นโรคอุบัติใหม่ที่อาการคล้ายคลึงกับโรคคาวาซากิแต่โรค MIS-C มักพบในผู้ป่วยเด็กโต แตกต่างจากโรคคาวาซากิที่มักพบในผู้ป่วยเด็กเล็ก รวมถึงจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก และการอักเสบรุนแรงทั่วร่างกายมากกว่า จึงอาจมีอันตรายร้ายแรงหากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

 

ที่มา: จุฬาลงกรณ์, Workpoint Today

บทความการดูแลสุขภาพ