
"เช้าลาเต้ เที่ยงชาไข่มุก เย็นไอศกรีม" ชีวิตหวานฉ่ำขนาดนี้ไม่ดีแน่ จริงอยู่ที่ความหวานนั้นทั้งอร่อยสุดฟินและกินง่ายจนหยุดไม่อยู่ อีกทั้งอาหารที่วางขายอยู่รอบตัวล้วนอุดมไปด้วยความหวานแทบทั้งนั้น แต่หากทานหวานมากเกินไปแบบไม่ระวังอาจทำให้กลายเป็นคนติดหวานซึ่งอาจตามมาด้วยโรคร้ายหลายชนิด แล้วจะสังเกตยังไงว่าเราติดหวานหรือเปล่า? อยากเลิกติดหวานต้องทำยังไง? ไปดูได้จากบทความนี้เลยค่ะ
รสหวานต้นเหตุหลากโรคร้าย
รสหวานที่ได้จากน้ำตาลนั้นเป็นของโปรดของใครหลายคน โดยการบริโภคน้ำตาลที่อยู่ในวัตถุดิบจากธรรมชาตินั้นอาจไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายมากนัก เพราะวัตถุดิบต่างๆ เช่น นม ผัก และผลไม้ จะมีสารอาหารอื่นๆ รวมอยู่ด้วย แต่ที่อันตรายนั้นจะเป็นการเติมน้ำตาลเพิ่มลงไปในอาหารต่างหากที่อาจนำพาภัยสุขภาพมาหาเรา ทั้งไอศกรีม ก๋วยเตี๋ยว หรือเครื่องดื่มดับร้อน ของอร่อยเหล่านี้ล้วนมีน้ำตาลปริมาณมากทั้งสิ้นองค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัมต่อวัน แต่ในปัจจุบันเราบริโภคน้ำตาลเยอะกว่านั้นมาก แค่ชานมไข่มุกปริมาณ 350 มล. ก็มีน้ำตาลถึง 11.25 ช้อนชาเข้าไปแล้ว ถ้าบวกกาแฟเข้าไปอีกแก้ว และอาหารอีก 3 มื้อรับรองว่าเกินแน่นอน ซึ่งผลของการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจทำให้เกิดข้อเสียต่างๆ เช่น
● น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
● ระดับพลังงานในร่างกายแปรปรวน
● เซลล์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
● เป็นสิวง่าย
● หน้าแก่ก่อนวัย
● เสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า
● เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันพอกตับ และโรคมะเร็ง
10 สัญญาณที่บอกว่าคุณติดหวาน!
ใครที่ชอบทานของหวานทุกวันอาจไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือผิดอย่างไร แต่รู้หรือไม่ว่า การทานของหวานเป็นประจำนอกจากเสี่ยงโรคแล้ว ยังอาจทำให้คุณ ‘ติดหวาน’ ได้ ซึ่งอาการดังกล่าวจะทำให้เลิกทานหวานได้ยากขึ้น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราติดหวานหรือยัง ? เช็คระดับความติดหวานของตัวเองได้จาก 10 สัญญาณต่อไปนี้
1. เติมน้ำตาลเพิ่มในอาหารทุกมื้ออย่างก๋วยเตี๋ยว ผัดซีอิ๊ว
2. ต้องดื่มชานมไข่มุกหรือกาแฟทุกวัน
3. ทานของหวานหลังมื้ออาหารเสมอ
4. อยากทานของหวานตลอดเวลา
5. ต้องทานของหวานมากขึ้นเพื่อให้หายอยาก
6. รู้สึกหิวบ่อยขึ้น
7. เมื่อหงุดหงิด เครียด หรือเศร้า จะอยากทานของหวาน
8. เลือกทานแต่ผลไม้รสหวาน เช่น มะม่วง ทุเรียน สตรอเบอร์รี่
9. แวะไปซื้อของหวานโดยเฉพาะ ไม่ใช่เพียงหยิบเพิ่มมาจากการซื้อของอื่นๆ
10. มีอาการหงุดหงิดเมื่อไม่ได้ทานของหวานใครที่มีพฤติกรรมตรงกับสัญญาณด้านบนหลายข้อ อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังติดความหวานแล้ว ควรลดปริมาณของหวานลงความปลอดภัยของสุขภาพ
ทำอย่างไรไม่ให้ติดหวาน?
เมื่อทราบถึงข้อเสียต่าง ๆ ที่เกิดจากการทานอาหารรสหวานแล้ว หลายคนอาจรู้สึกกังวลและอยากหาวิธีเลิกติดหวานกันอยู่บ้างแน่ๆ แต่การเลิกทานหวานแบบหักดิบทันทีอาจยากเกินไปและอาจส่งผลให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ควรค่อย ๆ ลดความหวานลงทีละน้อยแทน วันนี้เรามีเทคนิคในการลดความหวานมาฝากกัน
● อ่านฉลากโภชนาการข้างกล่องทุกครั้ง เพื่อไม่ให้บริโภคน้ำตาลเกินพอดี
● ปรุงให้น้อยลง ทานอาหารให้ครบทุกหมู่ในแต่ละมื้อ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนาน ไม่หิวบ่อย
● อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้หิวและอยากทานของหวาน (แต่ควรเลือกดื่มน้ำเปล่า ไม่ควรดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวาน)
● หากติดทานของหวานหลังมื้ออาหาร หรือทานขนมจุกจิก ให้เลือกทานแบบที่หวานน้อยหรือไม่หวานแทน อย่างพวกกราโนล่า ข้าวโอ๊ต หรือธัญพืชต่างๆ
● จดบันทึกอาหารที่ทานในแต่ละวัน เพื่อติดตามพฤติกรรมตัวเองและหาทางลดความหวานลง
● เลือกทานผัก ผลไม้ที่มีใยอาหารสูง เพื่อช่วยลดการอยากความหวาน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
● ไม่ซื้อของหวานมาเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะง่ายต่อการเผลอหยิบทาน
อย่างไรก็ตาม ความหวานไม่ได้เลวร้ายและน่ากลัวถึงขนาดที่ไม่ควรทานเด็ดขาดเลย เพียงแต่เราควรควบคุมปริมาณความหวานที่ทานในแต่วันให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากความหวาน และไม่บริโภคมากเกินไปจนก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายแทน เพียงเท่านี้เราก็สามารถรับประทานอาหารจานโปรดหรือกาแฟแก้วโปรดได้อย่างสบายใจไร้ปัญหา
ขอบคุณภาพจาก Freepik
บทความที่เกี่ยวข้อง